Loading...
Blog Post

การดูแลแบบประคับประคองคู่การใช้ Oncothermia ช่วยผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายให้คลายความทุกข์

ถึงแม้จะป่วยเป็นมะเร็ง แต่ผู้ป่วยก็ยังสมควรได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข แนวคิดการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) จึงเกิดขึ้นโดยมุ่งเน้นที่การลดความเจ็บปวด บรรเทาความทุกข์ทรมานและอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรักษา อันที่จริงแล้วการดูแลเช่นนี้สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยมะเร็งทุกระยะ และจะยิ่งเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มที่เมื่ออาการผู้ป่วยนั้นเข้าสู่ระยะแพร่กระจาย ซึ่งอาจจะกลายเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตพวกเขาเหล่านั้นก็ได้ นอกจากเรื่องสุขภาพร่างกายแล้ว การดูแลแบบประคับประคองยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวแบบองค์รวม ทั้งด้านสังคมและจิตใจด้วยการดูแลแบบประคับประคองในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแม้ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การดูแลแบบประคับประคองก็ไม่ได้หมายความว่าให้ยอมแพ้ หยุดรับการรักษาทุกอย่างและไม่ทำอะไรอีกเลย ซึ่งยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้อยู่อีกมาก อันที่จริงการดูแลแบบประคับประคองยังสามารถทำควบคู่ไปกับการรักษาได้ เพียงแต่เป้าหมายอาจเปลี่ยนจากการรักษาให้หายขาดมาเป็นการควบคุมโรคและอาการต่างๆ เพื่อให้ผู้ป่วยยังรู้สึกดีและมีชีวิตที่เป็นสุขในช่วงบั้นปลายโดยทั่วไปการดูแลแบบประคับประคองจะทำคู่กันไปกับการรักษาหลากหลายวิธี เช่น การฉายรังสี หรือการรับยาเคมีบำบัด โดยที่ไม่ได้ไปขัดขวางประสิทธิภาพของการรักษา แต่ในทางตรงข้าม สองสิ่งนี้กลับช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบายมากขึ้นและทนทุกข์น้อยลง ยิ่งเริ่มการดูแลแบบประคับประคองได้เร็วเท่าไรก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลลงเท่านั้นทำให้ไม่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ทั้งนี้เพราะสามารถคุมอาการของโรคและป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้Oncothermia เพื่อการดูแลแบบประคับประคองอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคองคือ Oncothermia ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งโดยใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุเข้าไปทำให้เซลล์มะเร็งมีอุณหภูมิสูงขึ้นและถูกทำลายในที่สุด ซึ่งวิธีนี้มีความแม่นยำและเฉพาะเจาะจงต่างกับวิธีการดั้งเดิมอื่นๆ โดยมีผลกับเซลล์มะเร็งเท่านั้น ส่วนเนื้อเยื่อหรือเซลล์อื่นบริเวณรอบข้างเซลล์มะเร็งจะไม่ได้รับความเสียหาย จึงส่งผลดีต่อการดูแลแบบประคับประคอง เพราะวิธีการนี้ทำให้ก้อนเนื้อมีขนาดเล็กลง ช่วยให้ผู้ป่วยลดความเจ็บปวดที่เกิดจากก้อนเนื้อ รวมถึงลดภาวะก้อนเนื้อเบียดอวัยวะข้างเคียงได้Oncothermia ยังส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน โดยเซลล์มะเร็งเมื่อได้รับความร้อนจะถูกภูมิคุ้มกันในร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ วิธีการนี้ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีส่วนช่วยอย่างมากต่อการดูแลแบบประคับประคอง เพราะโดยปกติแล้วผู้ป่วยมะเร็งจะมีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอทั้งจากตัวโรคและจากการเข้ารับการรักษา เสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แต่เมื่อOncothermia ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยก็สามารถต่อสู้กับอาการติดเชื้ออื่นๆ ได้ดีขึ้น เซลล์มะเร็งเองก็ถูกตรวจจับได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่เฉพาะบริเวณก้อนเนื้อ แต่ยังป้องกันการแพร่กระจายไปยังจุดอื่นได้ด้วยOncothermia นั้นเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลแบบประคับประคองที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย มีงานวิจัยในการใช้ Oncothermia ในผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน พบว่าสามารถลดขนาดของก้อนเนื้อลงได้และเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้ยาวนานขึ้น เมื่อควบคู่กับการดูแลในด้านอื่นๆ แล้วก็จะทำให้ทั้งผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขมากขึ้น การดูแลแบบประคับประคอง แม้จะเป็นการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเพื่อวัตถุประสงค์ให้ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายได้อย่างมีความสุข แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิเสธการรักษาไปทั้งหมด การรักษายังคงมีความจำเป็นเพื่อบรรเทาอาการ และ Oncothermia ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยเสริมการดูแลแบบประคับประคองให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดการเจ็บปวดและกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ยิ่งเริ่มดูแลได้เร็วก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตยืนยาวขึ้น ลดค่ารักษาพยาบาล และมีความสุขต่อไปโดยไม่ปล่อยให้มะเร็งเป็นตัวขัดขวาง

Blog Post

นอนไม่หลับเกิดจากหลายสาเหตุ ต้องคอยสังเกตและประเมินตนเอง (cannot sleep)

โดยปกติแล้วคนเราใช้เวลาไปกับการนอนประมาณ 1 ใน 3 ของแต่ละวัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ร่างกายได้ใช้เวลาในการซ่อมแซม ฟื้นฟู และเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ แต่ปัจจุบันหลายคนต้องพบกับภาวะนอนไม่หลับ ซึ่งเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตพบว่า คนไทยราว 19 ล้านคน กำลังเผชิญปัญหานอนไม่หลับ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุดังที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนอนไม่หลับส่งผลกระทบกับสุขภาพโรคนอนไม่หลับถือเป็นความผิดปกติในด้านการนอน มีการนอนที่ไม่ได้คุณภาพ มักมีอาการหลับยาก ตื่นกลางดึก หรือตื่นนอนตอนเช้าเร็วเกินไปและไม่สามารถหลับต่อได้ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งทางร่างกายและจิตใจ คนทั่วไปมักมีอาการนอนไม่หลับเฉลี่ยอยู่ที่ 1-2 คืนต่อสัปดาห์ แต่หากนอนไม่หลับติดต่อกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ การทำงาน และการใช้ชีวิต ซึ่งควรต้องปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางรักษาผลเสียของการนอนไม่หลับมีตั้งแต่รู้สึกไม่สดชื่นเมื่อตื่นนอน ขาดการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ไปจนถึงมีความสามารถและทักษะที่ลดลง เช่น สมองตอบสนองช้า ตัดสินใจช้า สมาธิสั้น หากปล่อยปัญหาไว้จนลุกลามก็อาจสร้างความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือแม้แต่ภาวะสมองเสื่อมและซึมเศร้าฮอร์โมนไม่สมดุลเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคนอนไม่หลับโรคนอนไม่หลับเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยทางจิตใจ ทางสภาพแวดล้อม และทางกาย โดยเฉพาะการที่ฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งปัญหานี้ก็เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยฮอร์โมนนั้นคือสารเคมีที่สร้างจากเนื้อเยื่อหรือต่อมไร้ท่อ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างเซลล์และควบคุมระบบต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ หากฮอร์โมนผิดปกติหรือไม่อยู่ในภาวะสมดุลย่อมส่งผลถึงการทำงานของร่างกายฮอร์โมนเองก็มีส่วนสำคัญในการควบคุมนาฬิกาชีวิต เมื่อฮอร์โมนถูกผลิตหรือปล่อยออกมาในปริมาณที่ไม่เหมาะสมย่อมส่งผลให้นาฬิกาชีวิตรวน และส่งผลให้นอนไม่หลับได้ในที่สุด ฮอร์โมนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณภาพการนอน มีดังนี้เมลาโทนิน ปกติจะถูกปล่อยออกมาเมื่ออยู่ในที่มืด เพื่อส่งสัญญาณบอกร่างกายว่าถึงเวลานอนแล้ว แต่หากฮอร์โมนนี้ผลิตออกมาไม่เพียงพอ ไม่ว่าจะเกิดจากการที่มีอายุมากขึ้น การได้รับยาบางชนิด การนอนไม่เป็นเวลา หรืออยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมากเกินไป ก็ย่อมส่งผลให้นอนไม่หลับได้คอร์ติซอล ปกติจะหลั่งออกมาสูงสุดในตอนเช้าเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและจะค่อยๆ ลดลงในระหว่างวัน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายลง แต่หากกำลังอยู่ในภาวะเครียด ระดับคอร์ติซอลก็อาจมีแนวโน้มสูงขึ้นในเวลากลางคืนทำให้หลับยากตามไปด้วยฮอร์โมนเพศทั้งเทสโทสเทอโรนในผู้ชาย เอสโตรเจนและโปรเจสเทอโรนในผู้หญิง เมื่ออยู่ในระดับผิดปกติก็จะส่งต่อการนอนหลับได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยทอง อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือมีประจำเดือนโกรทฮอร์โมน ฮอร์โมนนี้มีแนวโน้มผลิตน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น จึงไม่แปลกที่จะพบปัญหาการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ เช่น หลับยาก หลับไม่ลึก หรือหลับไม่ต่อเนื่องไทรอยด์ฮอร์โมน ทำหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญและควบคุมระดับพลังงาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวข้องกับต่อมไทรอยด์จะมีระดับฮอร์โมนสูงหรือต่ำเกินไป ส่งผลให้เกิดปัญหาการนอน เช่น ตื่นบ่อยระหว่างนอน หรือหลับยากปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุลเกิดได้จากหลายสาเหตุจนส่งผลไปถึงภาวะนอนไม่หลับ ยกตัวอย่างเช่น ความเครียดซึ่งทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลหลั่งออกมามาในตอนกลางคืน การมีประจำเดือนที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หรือการได้รับยาบางชนิดที่ส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมน เป็นต้นแนวทางการรักษาโรคนอนไม่หลับการรักษาโรคนอนไม่หลับก็ขึ้นอยู่กับว่ามาจากสาเหตุใดที่ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล บางครั้งอาจต้องการแค่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตซึ่งสามารถทำได้เองง่ายๆ ในเบื้องต้น เช่น การเข้านอนให้เป็นเวลา การจัดสภาพแวดล้อมการนอนให้เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือฝึกเทคนิคการผ่อนคลายความเครียด อย่างการนั่งสมาธิหรือการฝึกโยคะ แต่หากรุนแรงกว่านั้นก็อาจต้องเข้ารับฮอร์โมนบำบัดหรือรับยารักษาการนอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ร่างกายเราทำงานได้อย่างปกติ ดังนั้น หากมีอาการนอนไม่หลับก็สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและอาจลุกลามจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพ ส่วนหนึ่งเกิดมาจากฮอร์โมนไม่สมดุล ซึ่งยังสามารถแก้ไขได้หากทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต แต่หากยังไม่ดีขึ้นให้รีบไปปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการหรือตรวจเช็คระดับฮอร์โมน สำหรับวางแผนการรักษาต่อไป เพื่อสุดท้ายเราจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุข

Blog Post

Brain & Memory booster (Cerebrolysin)

Brain & Memory booster (Cerebrolysin)การให้วิตามินสูตรเฉพาะทางหลอดเลือดดำที่มีส่วนผสมของสารสกัดโปรตีนบริสุทธิ์จากสมองหมู มีส่วนช่วยเรื่องการทำงานของสมอง เช่น สารเปปไทด์, สารบำรุงเซลล์สมอง, สารปรับการเจริญเติบโตของสมอง และสารช่วยสร้างสารสื่อประสาท ทางการแพทย์จึงได้นำ Cerebrolysin มาบำบัดอาการทางสมอง เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก (Stroke) รวมถึงผู้มีภาวะความจำเสื่อม สมองเสื่อม ความสามารถในการคิดช้า และสมาธิสั้น นอกจากนั้น Cerebolysin ช่วยให้ผู้ป่วยมีการประมวลผลของสมองที่ดีขึ้น (cognitive function) ปัจจุบันมีการศึกษาในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และพบว่า Cerebrolysin อาจมีศักยภาพในการชะลอการลุกลามของโรค แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม และการติดตามผลในระยะยาวต่อไป ประโยชน์ของ Cerebrolysinช่วยให้สมองฟื้นฟูและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำของสมองปกป้องและเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทฟื้นฟูอาการทางสมองในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดสมองตีบหรือแตกฟื้นฟูภาวะความจำเสื่อม สมองเสื่อมบำบัดหลังการบาดเจ็บ การผ่าตัด หลังการกระทบกระเทือน หรือหลังการผ่าตัดประสาท เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลาผู้ที่มีปัญหาด้านความจำ หลงลืมผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ภาวะความจำเสื่อม ความจำไม่ดี และสมาธิสั้น 

Blog Post

ธรรมชาติบำบัด ช่วยขจัดโรคมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ (cancer)

มะเร็งนับเป็นโรคร้ายใกล้ตัวที่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ในไทยเองก็มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี เนื่องจากในทุกวันนี้เราถูกแวดล้อมไปด้วยปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มากมาย เราต่างไม่อยากให้โรคนี้ต้องมาเกิดกับตนเองและคนที่เรารัก เพราะแม้ว่าปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนมาก แต่ผู้ป่วยก็ต้องยอมทนทุกข์จากขั้นตอนการรักษาที่ซับซ้อนและยาวนาน ส่งผลกระทบไปถึงคุณภาพชีวิตที่ลดลงวิธีการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตามมาตรฐานทั่วไป ได้แก่ การฉายรังสี และการใช้เคมีบำบัด ล้วนเป็นวิธีที่ใช้กำจัดเนื้อร้าย แต่ก็ส่งผลเสียตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเมื่อได้รับการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้จะส่งผลให้เซลล์ปกติจำนวนมากถูกทำลายตามไปด้วย ผู้ป่วยจึงหนีไม่พ้นที่ต้องเจอกับผลข้างเคียงต่างๆ เช่น ผมร่วง แผลในปาก คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร โลหิตจาง หรือติดเชื้อง่าย เป็นต้น จึงไม่แปลกที่หลายคนจะรู้สึกท้อแท้และยอมแพ้กับโรคร้ายนี้ธรรมชาติบำบัดเป็นอีกทางเลือกเพื่อเสริมการรักษาโรคมะเร็งด้วยผลข้างเคียงต่างๆ นานา ทำให้ในปัจจุบันผู้ป่วยหลายรายเริ่มมองหาทางเลือกอื่นในการรักษา หรือบางครั้งก็เลือกทำควบคู่ไปกับวิธีการรักษาตามแนวทางมาตรฐาน จนในขณะนี้มีความต้องการการรักษามะเร็งทางเลือกทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลของ Expert Market Research (EMR research) พบว่าตลาดการรักษามะเร็งทางเลือกคาดว่าจะโตปีละ 17.8% ในช่วงระหว่างปี 2566-2571 นี้ธรรมชาติบำบัดเป็นอีกหนึ่งการรักษาทางเลือกที่กำลังได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในไทยที่มีข้อได้เปรียบของความหลากหลายของสมุนไพร รวมถึงภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยธรรมชาติบำบัดด้วยการใช้สมุนไพรนั้นสามารถช่วยเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาตามแผนปัจจุบันได้การใช้วิถีธรรมชาติบำบัดมะเร็งนั้น ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่การขับของเสียในร่างกาย ซึ่งเป็นขั้นตอนเพื่อขจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายออกเสียก่อนการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อมะเร็ง โดยสมุนไพรสูตรต้นตำรับไทยต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในขั้นตอนนี้การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขั้นตอนนี้จะส่งเสริมให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง โดยการให้สารอาหารและวิตามินเข้าสู่ร่างกายพัฒนาตำรับยาสมุนไพรไทยด้วยวิทยาการสมัยใหม่ทั้งนี้ การใช้ยาสมุนไพรตามแผนโบราณไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรเดี่ยวหรือตำรับยาต่างๆ มักมีส่วนประกอบทางเคมีของสารหลายชนิด โดยไม่ได้ระบุลงไปว่าสารชนิดใดส่งผลต่อมะเร็งหรือในปริมาณความเข้มข้นเท่าไร รวมถึงการกินสมุนไพรเพื่อรักษามะเร็งก็อาจมีฤทธิ์เป็นพิษต่อร่างกายได้ดังนั้น การใช้สมุนไพรจึงต้องผ่านการศึกษาวิจัยไม่ว่าจะใช้ในการบำบัดรักษา เสริมฤทธิ์ หรือลดผลข้างเคียง ทั้งยังต้องผ่านการตรวจวิเคราะห์สิ่งปลอมปนในยาสมุนไพรด้วยเมื่อวิทยาศาสตร์ผสานเข้ากับภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ก็จะทำให้การใช้ธรรมชาติบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งนั้นมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ยกตัวอย่างตำรับยาที่ผ่านวิเคราะห์และพัฒนาแล้ว รวมถึงที่ผ่านการประเมินความเป็นพิษ (toxicity test) แล้ว ได้แก่ตำรับยารุพรหมภักดิ์ ซึ่งให้ผลการออกฤทธิ์เหมือนเป็นยาเคมีบำบัดตามธรรมชาติ ช่วยต้านเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการกลายพันธุ์ และต้านอนมูลอิสระตำรับยาล้อมพรหมภักดิ์ (ประจุกษัย) มีสรรพคุณในการยับยั้งการกลายพันธุ์และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมภูมิคุ้มกันตำรับยารักษาพรหมภักดิ์(ตัดรากกษัย) ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง ออกฤทธิ์แบบเดียวกับเคมีบำบัดตามธรรมชาติ ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกันธรรมชาติบำบัดด้วยสมุนไพรนับเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทนทุกข์กับการรักษาตามแนวทางมาตรฐาน และมีข้อดีในหลากหลายด้าน อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยควรต้องปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด