Loading...
Blog Post

Genesenn เปิดตัว “ชยานา ลาดพร้าว” ชู AI Brain Scan แห่งแรกในไทย ก้าวสู่ผู้นำ Medical Wellness สากล

Genesenn ดึงประสบการณ์กว่า 25 ปีสู่ผู้นำ Medical & Wellness Lifestyle มุ่งขับเคลื่อนไทย ก้าวสู่เวทีโลก เปิดตัว “ชยานา ลาดพร้าว”ดูแลโรคหลอดเลือด/สมรรถภาพทางเพศชาย และ AI Brain Scan แห่งแรกในไทยGenesenn (เกเนเซน) ถือกำเนิดจากประสบการณ์อันยาวนานของผู้ก่อตั้งบริษัท Nusasiri PCL ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้ต่อยอดวิสัยทัศน์สู่การสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการสุขภาพในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “ชีวิตที่สมดุลและยั่งยืน” โดยนำเอานวัตกรรมการแพทย์ระดับโลกจากประเทศเยอรมนี (Panacee) เข้ามาเผยแพร่และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล Panacee Rama 2 หรือโครงการ My Ozone เขาใหญ่Genesenn คือ “การแพทย์เชิงรุก” (Preventive & Regenerative Medicine) พร้อมขยายเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เช่น Accor Hospitality และ Absolute U Management เพื่อสร้างโมเดล Medical & Wellness Tourism Hub ที่ครบวงจร ทั้งในกรุงเทพฯ พัทยา เชียงราย กระบี่ ภูเก็ต และบางแสน  เพื่อเจาะลึกการดูแลอย่างครบวงจร  Genesenn จึงได้เปิดตัวพร้อมกันถึง 9 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละจุดตั้งเป้าประสงค์ตามบทบาทของการดูแล และการป้องกันโรคที่เกิดจากหลอดเลือด  อาทิ ดูแลสุขภาพหลอดเลือดที่ส่งผลต่อผิวพรรณ ความงาม และความอ่อนเยาว์ / ด้านสมรรถภาพทางเพศชาย และภาวะหลอดเลือดเสื่อม  หรือ  มุ่งเน้นการดูแลผู้สูงวัยและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อย่างครบวงจร   เพราะ “Genesenn เชื่อว่าการดูแลหลอดเลือดคือการดูแลชีวิต  หลอดเลือดเป็นสารตั้งต้นที่จะนำไปสู่สุขภาพที่ดี หรือนำไปสู่โรคภัยร้ายแรงได้มากมายในอนาคต  เพราะหลอดเลือดที่ดี = มีหัวใจที่ดี สมองที่ดี และสมรรถภาพของร่างกายที่ดี”ล่าสุด  Genesenn ได้เปิดตัว “ชยานา ลาดพร้าว” คลินิกเฉพาะทางแห่งใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่มวัย 45+ ซึ่งมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะหลอดเลือดเสื่อม รวมถึงปัญหาสุขภาพเรื้อรัง อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ และภาวะสมรรถภาพทางเพศชายลดลง โดยเน้นการดูแลระดับเซลล์ (Cellular Health) ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยจากยุโรป ได้แก่:EMDAS (Electromagnetic Dynamic Acoustic Stimulation): เทคโนโลยีคลื่นเสียงระดับเซลล์ครั้งแรกในย่านลาดพร้าว เพื่อช่วยปรับสมดุล ฟื้นฟูสมองจากความเครียด อาการซึมเศร้า และอัลไซเมอร์AI Brain Scanning: วิเคราะห์สุขภาพสมองและอารมณ์ด้วย AI เพื่อตรวจจับความเสี่ยงอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระยะแรกCellular Sound Wave Therapy: กระตุ้นการซ่อมแซมร่างกายโดยไม่ใช้ยาการวิเคราะห์สุขภาพเชิงลึก: ตรวจวัดฮอร์โมน Cytokines การไหลเวียนโลหิต และระบบเมตาบอลิซึมการดูแลเฉพาะทางด้านหลอดเลือด สมรรถภาพทางเพศ และระบบประสาท: โดยทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัดโดยในวันนี้ คุณศิริญา เทพเจริญ ผู้บริหาร Genesenn ได้เป็นประธานในพิธีเปิด “ชนายา ลาดพร้าว” พร้อมกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “เราจะนำ Genesenn ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำ Medical & Wellness Lifestyle มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ภายใต้แนวคิด “Soft Power ไทย ผสานนวัตกรรมการแพทย์ต่อไป  และจากความเชี่ยวชาญในการดูแลแบบองค์รวมตลอด 16 ปีของทีมแพทย์ Genesenn จึงไม่เพียงพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ เรายังนำเสนอ บริการแบบ One-Stop Solution สำหรับคลินิก สกินแคร์ และเนอสซิ่งแคร์ พร้อมทีมแพทย์ พยาบาล และนักการตลาดมืออาชีพ เพื่อผลักดันไทยสู่ศูนย์กลาง Medical & Wellness Tourism ระดับโลก ต่อไปค่ะ”  คุณศิริญา กล่าวพร้อมกันนี้ภายในงานยังได้จัดการบรรยายพิเศษ นำทีมโดย นพ.สุจิตร์ บัญญัติปิยพจน์ ที่บรรยายในหัวข้อ ” เสื่อมสมรรถภาพไม่ใช่เรื่องวัย…แต่อาจมาจาก  ‘ฮอร์โมน’ หรือ ‘หลอดเลือด’ , พญ. พริมรตา ติยะจินดา ในหัวข้อ ” น้ำหนักเกินไม่ใช่แค่เรื่องกินเยอะ  แต่เกี่ยวกับระบบฮอร์โมน” , ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิ ช่วยวงษ์ญาติ หัวข้อ ” เบาหวาน…ภัยเงียบที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด” และ คุณวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ที่มาแชร์ประสบการณ์การดูแลร่างกายด้วย  สเต็มเซลล์  ท่ามกลางสื่อมวลชนและแขกที่มาร่วมงานคับคั่งโดย  Genesenn: พร้อมเดินหน้าขยายสาขาทั่วไทย  อาทิPNC Nursing Care & Wellness Center – ศูนย์ฟื้นฟูหลอดเลือด และ ดูแลผู้สูงอายุDNA Clinic – คลินิกเวชศาสตร์ความงามและการฟื้นฟูเฉพาะบุคคลChayana Wellness (ลาดพร้าว) – ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยแบบลึกถึงเซลล์ ออกแบบมาเพื่อกลุ่ม ซึ่งมีแนวโน้มเผชิญกับภาวะหลอดเลือดเสื่อม รวมถึงปัญหาสุขภาพเรื้อรัง อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ และภาวะสมรรถภาพทางเพศชายลดลงอมตยา (กระบี่) – น้ำแร่เค็มธรรมชาติสำหรับการฟื้นฟูหลอดเลือดและโรคผิวหนัง           “Genesenn “ จึงเชื่อว่าพลังแห่งสุขภาพจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับทุกคน

Blog Post

สเต็มเซลล์ คำตอบใหม่เพื่อการรักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (sex)

ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศพบได้ทั่วไปในหมู่ผู้ชายจากสถิติในสหรัฐอเมริกามีการสำรวจพบว่าผู้ชายมีภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศถึงร้อยละ 52 เลยทีเดียวซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นและสร้างความกังวลให้กับชายไทยมาโดยตลอดปัญหานี้มีผลบั่นทอนความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ จนบางคู่ต้องจบด้วยการเลิกรา อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่อย่าเพิ่งท้อใจไป เพราะวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันได้จุดประกายความหวังในการรักษาขึ้นมาอีกครั้งสาเหตุและการแก้ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศคือ การที่อวัยวะเพศชายไม่สามารถแข็งตัวหรือแข็งตัวได้ไม่นานพอจนสิ้นสุดกิจกรรมทางเพศ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากสาเหตุทางด้านจิตใจและด้านร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น อายุเองก็เป็นปัจจัยหลักเช่นเดียวกัน โดยภาวะนี้มีโอกาสพบในชายอายุต่ำกว่า 40 ปี อยู่ที่ประมาณ 1-10% แต่เมื่อมีอายุมากกว่า 40 ปีแล้ว ก็จะพบได้ถึงประมาณ 15-40% ตามช่วงอายุ นอกจากนี้ อาจมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ และการกินยาบางชนิดเมื่อเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงองคชาตไม่สะดวก ทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัวเพื่อตอบสนองต่อการกระตุ้นทางเพศได้เต็มที่ ซึ่งปัจจุบันมียาช่วยขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศชายอย่างเช่นไวอากร้า รวมถึงยากินและยาฉีดอื่นๆ แต่ก็อาจเกิดอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ใจสั่น ปวดศีรษะ หรือบางรายอาจใช้กระบอกสุญญากาศในการรักษาร่วมด้วย ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และอาการอาจกลับมาใหม่ได้ทุกเมื่อรักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศด้วยสเต็มเซลล์จากการค้นคว้าเป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี ทำให้ในตอนนี้เรามีนวัตกรรมสเต็มเซลล์ ที่สามารถช่วยในการรักษาภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมีประสิทธิภาพสเต็มเซลล์คือเซลล์ต้นกำเนิดที่มีศักยภาพในการพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ที่ทำหน้าที่จำเพาะในร่างกาย จึงสามารถเข้าไปทดแทนเซลล์เดิมที่เสื่อมหรือเสียหายได้ ในการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศนั้นแพทย์จะเก็บสเต็มเซลล์จากร่างกายของผู้เข้ารับบริการแล้วทำให้เข้มข้นขึ้นและฉีดกลับเข้าไปยังบริเวณอวัยวะเพศชาย จากนั้นกระตุ้นด้วยคลื่นกระแทกสเต็มเซลล์จะช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผนังหลอดเลือด ทำให้มีหลอดเลือดใหม่มาเลี้ยงอวัยวะเพศได้มากขึ้น ส่งผลให้เซลล์ระบบประสาทบริเวณอวัยวะเพศสั่งการและตอบสนองต่ออารมณ์ทางเพศได้ดีขึ้น การทำงานของอวัยวะเพศจึงฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติการรักษาด้วยสเต็มเซลล์นั้นมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ หากใช้ร่วมกับวิธีการอื่น เช่น การใช้ยา กระบอกสุญญากาศ หรือคลื่นเสียงความถี่ต่ำ จะยิ่งช่วยส่งเสริมการรักษาให้ดีขึ้นได้ ทั้งนี้ผลลัพธ์ในแต่ละคนอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ ประวัติการรักษา การใช้ยา และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้เข้ารับบริการนวัตกรรมสเต็มเซลล์ สะดวก ปลอดภัย มีประสิทธิภาพการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยสเต็มเซลล์นั้นไม่ต้องผ่าตัด สะดวก รวดเร็ว ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน ให้ผลการรักษาในระยะยาว มีโอกาสกลับมาเกิดอีกครั้งน้อย แต่ทั้งนี้อาจต้องใช้เวลาตั้งแต่ 4 สัปดาห์ถึง 6 เดือน จึงเห็นผลชัดเจน โดยหลังฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปแล้วอาจมีอาการบวมแดงหรือช้ำเล็กน้อยทั้งนี้ การเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ควรศึกษาข้อมูลถึงขั้นตอนการรักษาและหาสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยในการประเมินและวางแผน เพื่อให้มั่นใจในความแม่นยำ ปลอดภัย และประสิทธิภาพจากการรักษาปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลยหรือต้องอาย หากยังอยากรักษาความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ของคุณให้ราบรื่น การเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ จึงเป็นวิธีที่น่าสนใจ เพราะช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะยาว จนไม่ต้องกลุ้มใจหรือปล่อยให้ปัญหาบานปลายจนต้องจบความสัมพันธ์ไปอย่างน่าเสียดาย

Blog Post

คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว เป็นจริงได้ด้วยสเต็มเซลล์ (youthful)

หากเป็นไปได้คงไม่มีใครอยากเห็นผิวพรรณและใบหน้าของตนร่วงโรยลงไปตามอายุ เราจึงได้เห็นผู้คนมากมายออกตามหายาอายุวัฒนะเพื่อชะลอวัยมาตั้งแต่สมัยโบราณ จนใกล้เคียงความจริงมากขึ้นเมื่อมนุษย์เราได้คิดค้นผลิตภัณฑ์อย่างเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวเพื่อประทินผิวให้กลับมาเรียบเนียน แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้อย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่การปิดบังหรือเติมเต็มภายนอกเท่านั้น ต่างกับนวัตกรรมใหม่อย่างการใช้ “สเต็มเซลล์เพื่อการชะลอวัย” ที่จะช่วยดูแลผิวพรรณแบบลงลึกถึงระดับโครงสร้าง ทำให้คงความอ่อนวัยไว้กับตัวคุณสมบัติพิเศษของสเต็มเซลล์สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดนั้นมีคุณสมบัติพิเศษตรงที่สามารถเจริญไปเป็นเซลล์ในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย จึงเป็นที่สนใจของวงการแพทย์ รวมไปถึงแพทย์ผิวหนังและความงาม ที่หวังจะนำสเต็มเซลล์ไปใช้ประโยชน์เพื่อการชะลอวัยจนมีการวิจัยต่างๆ ตามมามากมาย และประสบความสำเร็จในที่สุดโดยทั่วไปแล้ว เมื่อคนเราอายุย่างเข้าวัยเลขสามก็จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณที่เป็นสัญญาณของความชรา ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยเหี่ยวย่น ร่องลึก ฝ้า กระ ผิวหนังบาง แพ้ง่าย เป็นต้น ทั้งนี้เป็นผลมาจากหลากปัจจัย ซึ่งปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการที่สเต็มเซลล์ในร่างกายมีปริมาณลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทั้งยังมีประสิทธิภาพการทำงานลดลงด้วยสเต็มเซลล์เข้าไปฟื้นฟูสภาพผิวหากเพิ่มปริมาณสเต็มเซลล์มีชีวิตที่มีคุณภาพเข้าสู่ร่างกาย เซลล์เหล่านี้จะไปช่วยซ่อมแซมและทดแทนเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพหรือได้รับความเสียหาย คล้ายกับกระบวนการของเซลล์ผิวเด็ก นั่นจึงเป็นผลให้ผิวหน้ากระจ่างใสและคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณได้แต่ก่อนนั้นแพทย์จะเจาะไขกระดูกเพื่อเก็บสเต็มเซลล์โดยตรง ซึ่งเป็นไปด้วยความยุ่งยากและอาจสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้เข้ารับบริการอยู่พอสมควร แต่ในปัจจุบันนี้แพทย์สามารถเก็บสเต็มเซลล์ได้จากกระแสเลือด โดยฉีดยากระตุ้นให้สเต็มเซลล์ออกมาสู่กระแสเลือดก่อน แล้วจึงทำการจัดเก็บต่อไป ซึ่งทั้งสะดวกและปลอดภัยมากกว่าเก่า ทั้งยังสามารถนำไปเพาะเลี้ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วยกระตุ้นกระบวนการคืนความอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติการฉีดสเต็มเซลล์นั้นถือว่าเป็นกระบวนการคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากไม่มีการใช้สิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเหมือนการใช้เครื่องสำอางหรือสารเคมีอื่นๆ จึงเข้ากันได้กับร่างกายโดยไม่มีการต่อต้าน และสเต็มเซลล์เหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นกระบวนการต่างๆ ส่งผลดีต่อผิวพรรณในระยะยาวสเต็มเซลล์จะทำหน้าที่ฟื้นฟูสภาพผิวด้วยวิธีต่างๆ อาทิรักษารอยแผลและลดริ้วรอยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้เพิ่มเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งมีส่วนในการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับผิวหนังกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระผิวพรรณของผู้ได้รับการฉีดสเต็มเซลล์จะได้รับการฟื้นฟูและบำรุงให้สดใสเปล่งปลั่ง ดูมีออร่า กระชับ เต่งตึง เรียบเนียนและช่วยชะลออายุผิว โดยจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ 2-3 วันแรก และเห็นได้อย่างชัดเจนภายใน 1-2 ดือน การฉีดในแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงไม่นาน ประมาณ 30 นาที แนะนำให้เข้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง ทุก 6 เดือน – 1 ปีศึกษาข้อมูลก่อนเข้ารับบริการแม้สเต็มเซลล์จะมีคุณประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน โดยแพทย์จะประเมินสภาพผิวเพื่อวิเคราะห์ปัญหาของแต่ละบุคคลก่อนจะพิจารณาแผนการรักษาที่เหมาะสม ที่ปรับตามผู้เข้ารับบริการแต่ละราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย รวมถึงอายุ สภาพร่างกาย และผลลัพธ์ที่ผู้เข้ารับบริการต้องการด้วย โดยการฉีดสเต็มเซลล์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปการใช้สเต็มเซลล์เพื่อการชะลอวัยเป็นนวัตกรรมทางเลือกใหม่ที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวที่ร่วงโรยได้ในระยะยาว โดยแทบจะไม่ส่งผลข้างเคียง จึงได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ผู้สนใจเข้ารับบริการก็ต้องศึกษาและหาข้อมูลให้รอบด้าน รวมถึงเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือและมีมาตรฐานเช่นกัน

Blog Post

ใช้ชีวิตวัยทองอย่างมั่นใจ ให้ placenta therapy ช่วยดูแล

เมื่ออายุเลย 25 ปีแล้ว ฮอร์โมนก็จะค่อยๆ ลดลงและการทำงานก็ไม่เต็มประสิทธิภาพเหมือนแต่ก่อน ทิ้งร่องรอยของความโรยราไว้บนร่างกาย โดยเฉพาะกับหญิงวัยเข้าเลขสี่ที่กำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทอง ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงจะลดน้อยลง ส่งผลต่อผิวพรรณอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีผิวบอบบาง แห้งกร้าน เส้นผมหยาบกระด้าง ไม่เหมือนสมัยยังสาวนอกจากเรื่องความงามแล้ว ระดับของฮอร์โมนยังส่งผลต่อร่างกายและจิตใจด้วย เช่น ปวดกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย รู้สึกร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย บางครั้งอาจเลวร้ายถึงขั้นสร้างความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ และเบาหวาน เป็นต้นใส่ใจดูแลตนเองเมื่อฮอร์โมนลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นหากปล่อยร่างกายให้ล่วงเลยไปตามวัยย่อมส่งผลเสียต่างๆ นานา กระทบถึงการใช้ชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์ก็เป็นได้ ดังนั้น จึงต้องคอยหมั่นตรวจเช็คระดับฮอร์โมนและหาทางฟื้นฟูให้มีปริมาณมากขึ้นด้วยวิธีต่างๆ อาทิปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอเสริมวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการกระตุ้นฮอร์โมน ทั้งแบบกินและแบบฉีดได้รับฮอร์โมนทดแทนใช้ศาสตร์เซลล์บำบัด อย่าง placenta therapyplacenta therapy ยกระดับการฟื้นฟูด้วยสรรพคุณอัดแน่นplacenta therapy นั้นเป็นนวัตกรรมการฟื้นฟูสุขภาพและความงามจากภายในที่ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน โดย placenta หรือก็คือ “รก” ที่เรารู้จักกันนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการปรับสมดุลฮอร์โมน ช่วยซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกาย และคงความอ่อนเยาว์เอาไว้ได้placenta ถูกสร้างขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ เป็นสื่อกลางระหว่างแม่และลูกน้อยในครรภ์ มีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์สิ่งมีชีวิต เพื่อเลี้ยงตัวอ่อนให้เจริญเติบโต ทำหน้าที่หลักในการส่งอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงทารก ทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวอ่อนด้วย โดย placenta อุดมไปด้วยสารสำคัญที่มีประโยชน์กับร่างกายมากมาย ได้แก่ กรดอะมิโน เปปไทด์ วิตามิน โกรทแฟคเตอร์ โพลีดีออกซี่นิวคลีโอไทด์ ไซโตไคน์ และฮอร์โมนชนิดต่างๆ ทั้งหมดนี้ล้วนมีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพ จึงไม่แปลกใจที่จะถูกนำมาใช้ในเวชศาสตร์ชะลอวัยอย่างแพร่หลายประโยชน์หลากหลายจาก placenta therapyเมื่อได้รับ placenta therapy แล้ว จะเกิดการกระตุ้นฮอร์โมนให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปรับสมดุลฮอร์โมนเพศ ผู้ที่ได้รับบริการจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า อารมณ์แจ่มใส มีความสุข กระฉับกระเฉง นอนหลับมีประสิทธิภาพ และลดอาการวัยทองลง ไม่ว่าจะเป็นอาการร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง หรืออารมณ์แปรปรวนสำหรับประโยชน์ด้านความงามของ placenta therapy นั้น จะช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพและเพิ่มจำนวนการแบ่งตัวของเซลล์เยื่อบุผิว สร้างเนื้อเยื่อใหม่ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน และสร้างเส้นเลือดใหม่ไปหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวเต่งตึง นุ่ม เรียบเนียน เปล่งปลั่ง ย้อนคืนความเป็นหนุ่มสาวส่วนประโยชน์ต่อสุขภาพนั้น placenta therapy จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต้านการอักเสบ กระตุ้นระบบเผาผลาญ เสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อและลดไขมันส่วนเกิน ต้านสารอนุมูลอิสระ และฟื้นฟูอวัยวะภายในร่างกาย ทำให้รู้สึกแข็งแรงขึ้น ลดอาการเหนื่อยล้า และไม่ป่วยบ่อยรับสิ่งดีๆ เข้าร่างกายผ่าน placenta therapyplacenta therapy มักนิยมใช้ placenta extract ซึ่งเป็นสารสกัดที่ได้จากเนื้อเยื่อรกโดยตรง อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ข้างต้น เมื่อผ่านการฟื้นฟูด้วย placenta therapy ประมาณ 1-2 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณที่ดูอ่อนวัย เลือดไหลเวียนดี มีระดับฮอร์โมนที่สมดุล ทั้งนี้ ส่วนมากจะทำโดยการฉีดเข้าที่สะโพก โดยแนะนำให้ฉีดอย่างสม่ำเสมอเดือนละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 4-6 เดือน และฉีดกระตุ้นได้ทุก 6-12 เดือน โดยไม่มีสารตกค้าง ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยplacenta therapy นับเป็นศาสตร์เซลล์บำบัด ที่เป็นทางเลือกใหม่สำหรับการดูแลตนเอง โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่กำลังจะเริ่มเข้าสู่วัยทอง ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่เหมือนปกติ โดยลดความกังวลเรื่องสุขภาพหรือแม้แต่ความสัมพันธ์ อย่างไรก็ดี ควรหาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหารือถึงแนวทางการฟื้นฟูและผลลัพธ์ที่ต้องการ ก่อนตัดสินใจ ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมเข้าสู่อีกช่วงวัยของชีวิตด้วยความมั่นใจ

Blog Post

Palliative Care ดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ให้ผ่อนคลายก่อนจากไป

แม้จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ก็ใช่ว่าจะมีชีวิตอยู่เพียงแค่ถึงวันนี้ หากแต่อาจมีชีวิตต่อไปอีก 2-3 ปี ก็เป็นไปได้ แม้ความหวังที่จะรักษามะเร็งให้หายนั้นจะริบหรี่ แต่ทุกคนก็คาดหวังให้ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ ครอบครัวและคนรอบข้างจึงมีส่วนสำคัญที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยในช่วงสุดท้ายของชีวิตนี้การดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) คือการดูแลสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายขายได้ โดยมุ่งเน้นไปที่การลดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ดูแลรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น รวมไปถึงบรรเทาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรักษา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน จากการเข้ารับเคมีบำบัด นอกจากนี้ การดูแลยังครอบคลุมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและคนในครอบครัวให้ดีขึ้นแบบองค์รวม ทั้งทางกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ การดูแลแบบประคับประคองเป็นแนวทางสำคัญสำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายให้มีความสุขได้เท่าที่พึงมี และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตต่อไปหลังผู้ป่วยได้จากไปแล้วหลักการดูแลผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายแบบประคับประคองหลักการดูแลแบบประคับประคองต้องดูแลทั้งผู้ป่วยและครอบครัว โดยต้องใส่ใจเป็นพิเศษกับสภาพร่างกายและจิตใจของทั้งสองฝ่าย หลักการนี้ให้พยายามดูแลผู้ป่วยจนถึงวาระสุดท้ายอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เร่งหรือยืดการเสียชีวิต และต้องไม่ลืมที่จะใส่ใจคนอื่นในครอบครัวด้วย เพราะหากใครคนใดคนหนึ่งอาการทรุดลง คนอื่นก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย ในช่วงระหว่างนี้ ให้เน้นสร้างความสุขและผ่อนคลายความทุกข์ของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย คอยหาโอกาสใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะผู้ป่วยมักได้รับผลกระทบทางจิตใจ มีแนวโน้มที่จะเบื่อหน่ายที่ไม่สามารถทำอะไรได้ดั่งใจ จนเป็นที่มาของความทุกข์ เศร้าสร้อย หงุดหงิด การหากิจกรรมทำร่วมกันจะช่วยผ่อนคลายและประคับประคองอารมณ์ให้ผู้ป่วยรู้สึกสงบลง เช่น การใช้ดนตรีบำบัด การนวดและสัมผัส ทำงานอดิเรก งานศิลปะ หรือการสวดมนต์ เป็นต้นบทบาทของแต่ละคนในครอบครัวเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายย่อมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับทุกคนในครอบครัว เพราะต่างคนต่างต้องแบ่งบทบาทหน้าที่กันเพื่อดูแลและบรรเทาปัญหาของผู้ป่วยให้ดีที่สุดบทบาทของตัวผู้ป่วย เมื่อป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มักสูญเสียความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ ที่เคยทำ ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่ออารมณ์ซึมเศร้า ตัวผู้ป่วยจึงต้องทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและเข้าใจภาวะของโรค รวมถึงให้ความร่วมมือกับผู้ดูแล หมั่นสังเกตอาการตัวเองและบอกให้ผู้ดูแลรู้โดยไม่ปิดบังบทบาทของสมาชิกในครอบครัวหากผู้ป่วยเป็นหัวหน้าครอบครัวหรือเป็นเสาหลักในการหารายได้ คนอื่นในครอบครัวอาจต้องขึ้นมารับหน้าที่นี้แทน ซึ่งต้องแบกรับความเครียด ดังนั้น ต้องไม่ลืมที่จะทำร่างกายและจิตใจให้พร้อม เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ หรือกินอาหารที่มีประโยชน์ เป็นต้นบทบาทของผู้รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเป็นคนที่ต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจในการดูแลผู้ป่วย จนอาจนำไปสู่ความหดหู่ได้ ผู้ที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยต้องรับผิดชอบดูแลตนเองไปพร้อมกันด้วย อาจต้องผลัดเวรกันดูแลกับคนอื่นเพื่อหาเวลาไปผ่อนคลายจากการดูแลผู้ป่วยบ้างการดูแลแบบประคับประคอง โดยเฉพาะกับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายนั้น ต้องอาศัยความเข้าใจและความละเอียดอ่อน เพื่อให้บั้นปลายชีวิตของพวกเขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ต้องทุกข์ทรมาน ควรมีความรู้ความเข้าใจในบทบาทของตน อาการของผู้ป่วย และแนวทางในการดูแลเบื้องต้น และสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกันคือการดูแลร่างกายตนเองและคนในครอบครัว เพื่อช่วยกันประคับประคองและผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

Blog Post

5 โรคร้ายแรงต้องระวังในกลุ่มผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุนั้นสั่งสมประสบการณ์และความรอบรู้มาอย่างยาวนาน นับเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าที่ยังสร้างประโยชน์ให้ครอบครัวและสังคมได้อีกมาก แต่การมีอายุมากก็ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เสื่อมถอยลงไปตามกลไกธรรมชาติ และนำไปสู่ความเสี่ยงของโรคร้ายแรงต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน การใส่ใจดูแลสุขภาพจากทั้งตัวผู้สูงอายุเองและคนรอบข้างก็จะช่วยให้พวกท่านเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุขในบั้นปลาย การรู้จักและเฝ้าระวังโรคร้ายแรงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมีหลายสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นโรคร้ายแรงมากกว่าคนวัยอื่น ปัจจัยหลักมาจากเซลล์เสียศักยภาพในการซ่อมแซมตนเองเมื่อมีอายุมากขึ้น เซลล์จึงเสียหายและกลายเป็นที่มาของโรคเรื้อรัง นอกจากนี้ ระบบภูมิคุ้มกันในตัวผู้สูงอายุก็เริ่มอ่อนแอลง ไม่สามารถป้องกันและต่อต้านโรคต่างๆ ได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนแต่ก่อน จึงเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายในผู้สูงอายุตามไปด้วยต่อไปนี้คือ 5 โรคร้ายที่ต้องคอยเฝ้าระวังในกลุ่มผู้สูงอายุ1. โรคหัวใจขาดเลือดโรคนี้พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากภาวะไขมันในเลือดสูง มีต้นเหตุมาจากพฤติกรรมการกินอาหารไขมันสูงโดยไม่ระวัง ไลฟ์สไตล์ที่ไม่ออกกำลังกาย รวมถึงอาจมาจากกรรมพันธุ์หรือการกินยารักษาโรคบางชนิด ไขมันสะสมเหล่านี้จะไปอุดตันตามเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกจนไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้เพียงพอ ก่อให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือดที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาการของโรคนี้ที่สังเกตเห็นได้ชัด คือ เจ็บแน่นบริเวณกลางอก หายใจไม่สะดวก จุกแน่น ปวดท้อง เวียนศีรษะ เป็นต้น2. โรคอัลไซเมอร์ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางสมอง โดยเฉพาะโรคอัลไซเมอร์ ที่ทำให้สูญเสียความทรงจำและการเรียนรู้สิ่งใหม่ จนไม่สามารถดำเนินกิจวัตรประจำวันได้ โรคนี้เกิดจากความเสื่อมของเซลล์สมอง โดยมีปัจจัยเสี่ยงมาจากกรรมพันธุ์ โรคเรื้อรังต่างๆ ภาวะซึมเศร้า และพฤติกรรมที่ไม่ค่อยได้ฝึกพัฒนาความคิด อาการของโรคนี้จะแย่ลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากหลงลืม สับสนวันเวลาหรือสถานที่ ใช้ภาษาผิดปกติ มีบุคลิกเปลี่ยนแปลงไป จนถึงขั้นรุนแรงที่สูญเสียคำพูดและการแสดงออกทางสีหน้า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องพึ่งพาผู้อื่นช่วยแม้แต่ในเรื่องง่ายๆ เช่น ป้อนข้าวหรืออาบน้ำ3. โรคเบาหวานโรคเบาหวานกลายเป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในผู้สูงอายุ เกิดจากความเสื่อมสภาพของตับอ่อนทำให้ผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยลง จึงไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงจนอาจทำลายระบบประสาทและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคแทรกซ้อนอื่นๆ อาการเริ่มแรกมักหิวบ่อย กินจุ คอแห้ง หิวน้ำ ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลียง่าย สายตาพร่ามัว และแผลหายช้า4. โรคความดันโลหิตสูงความดันโลหิตจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แปรผันตามอายุ ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่ มีน้ำหนักเกิน หรือเครียด เป็นต้น หากมีความดันมากกว่า 140/90 มิลลิลิตรปรอท ก็จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้มีภาวะความดันโลหิตสูง โดยทั่วไปจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่หากมีความดันโลหิตสูงขึ้นก็จะแสดงอาการออกมา เช่น ปวดศีรษะรุนแรง หายใจถี่ หน้ามืด หรือตาพร่า หากปล่อยไว้นานก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคหลอดเลือดสมองตีบ เป็นต้น5. โรคทางกระดูกเมื่ออายุเพิ่มขึ้น มวลกระดูกก็จะสลายตัวได้ง่ายขึ้น รวมทั้งน้ำไขข้อและความยืดหยุ่นในข้อต่อต่างๆ ก็ลดน้อยลงด้วย ผู้สูงอายุจึงเสี่ยงเป็นโรคทางกระดูก ได้แก่ โรคกระดูกพรุน และโรคข้อเข่าเสื่อม โรคกระดูกพรุนนั้นมักพบในหญิงผู้สูงอายุมากกว่า โดยความหนาแน่นของกระดูกจะลดลง กระดูกบางและเปราะหักง่าย อาการมักค่อยๆ เกิดขึ้น เช่น ปวดตามบริเวณเอว หลัง ข้อมือ หรือเริ่มมีรูปร่างผิดแปลกไป เช่น หลังโก่ง ไหล่งุ้ม เป็นต้นส่วนโรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณผิวข้อส่วนที่ต้องรับน้ำหนัก เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อต่อกระดูกสันหลัง หากยังใช้งานข้อเข่าเช่นเดิมโดยไม่รับการรักษา ก็จะมีอาการปวดบวมที่ข้อ ข้อตึง จนถึงขั้นเจ็บปวดเรื้อรัง ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้แม้ความเสี่ยงของโรคร้ายแรงจะเพิ่มขึ้นไปตามอายุ แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้หากหมั่นตรวจสุขภาพและดูแลตนเองเป็นอย่างดี รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ นอกจากตัวผู้สูงอายุแล้ว ครอบครัวและคนรอบข้างก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยดูแลให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อให้ท่านได้มีชีวิตยืนยาวและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขความอิ่มเอมใจ